Archive for มีนาคม 15th, 2009

หลุมดำในใจพระเทวทัต/ดนัย จันทร์เจ้าฉาย Danai Chanchaochai

"หลุมดำในใจพระเทวทัต"
By danai

สังคมโลกเราทุกวันนี้ช่างวุ่นวายสิ้นดี จะมองไปทางไหนก็เห็นมีแต่การแก่งแย่ง แข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกัน ผู้มีอำนาจวาสนาก็จ้องแต่เอาชนะคะคานกัน โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนตาดำๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ต้องพบกับความลำบากกันถ้วนหน้า สาเหตุมาจากอะไรกันนะ ถึงได้ทำให้คนเราทำเรื่องแบบนี้ต่อกันได้

จะว่าไปแล้วเรื่องอย่างนี้มันเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับมีมนุษย์อุบัติขึ้นมาในโลก เพราะสิ่งที่ติดตัวมากับมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์หาได้แตกต่างกันไม่ นั่นคือ อารมณ์ อันเป็นความรู้สึกพื้นฐานที่มีตั้งแต่ รัก โลภ โกรธ หลง อาฆาต พยาบาท น้อยใจ เคียดแค้น ไม่ต้องย้อนเวลากลับไปดูไกลมาก เอาแค่สมัยพุทธกาลเราก็พอจะได้ยินเรื่องราวของพระเทวทัต ผู้เป็นทั้งพระญาติ พระลูกศิษย์ และศัตรูคู่อาฆาตของพระพุทธเจ้าที่ตามจองเวรจองกรรมพระพุทธองค์มาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ เรามาดูต้นเหตุการจองเวรพระพุทธเจ้าของพระเทวทัตกัน

ในสมัยก่อนพุทธกาล มีพ่อค้าเครื่องประดับอยู่ ๒ คน มีชื่อว่าเสริวะ เหมือนกัน อยู่ในเมืองเดียวกัน ได้ไปค้าขายร่วมทางกันเสมอ อยู่มาคราวหนึ่งได้ไปถึงตำบลหนึ่งพร้อมกัน คนหนึ่งเข้าทางตะวันออก คนหนึ่งเข้าทางตะวันตก คนที่เข้าทางตะวันตกได้ไปถึงบ้านเศรษฐีตกยากคนหนึ่ง ซึ่งมีแค่ยายกับหลานสาวเท่านั้น หลานสาวอยากได้เครื่องประดับ ยายจึงนำถาดเก่าสนิมเกรอะใบหนึ่งออกมาแลก พ่อค้าคนนั้นเอาเข็มกรีดดู ก็รู้ว่าเป็นทองคำ จึงชั่งน้ำหนักดู เห็นหนักตั้งแสนกหาปณะก็ดีใจมากคิดอยากได้เปล่า จึงแกล้งบอกว่าถาดนี้ไม่มีราคา แล้วก็วางลงออกเดินทางต่อไป ด้วยคิดจะย้อนกลับมาเอาเปล่าๆ หรือเอาอย่างราคาถูกที่สุดในภายหลัง

แต่พอไปได้สักครู่ใหญ่ พ่อค้าที่เข้าทางตะวันออกก็มาถึง เมื่อยายนำถาดทองคำมาขอแลกก็หยิบถาดทองคำขึ้นดูรู้ว่าหนักผิดปกติก็เอาเข็มกรีดดู พอรู้ว่าเป็นทองคำก็บอกตามความจริงว่า ถาดนี้เป็นถาดทองคำ ยายจึงว่าถ้าอย่างนั้นก็เห็นจะเป็นบุญของหลาน เพราะพ่อค้าคนก่อนบอกว่าไม่มีราคา หลานจงเอาไปเถิด ให้เครื่องประดับแก่หลานของยายสักเล็กน้อยก็แล้วกัน พ่อค้านั้นจึงบอกว่าเครื่องประดับทั้งหมดของหลานที่มีมาก็มีราคาเพียง ๕oo กหาปณะเท่านั้น หลานจะยกให้หมดแล้วจะแถมให้อีก ว่าแล้วก็ยกเครื่องประดับทั้งหมดแถมเงิน ๕oo กหาปณะให้ แล้วรีบถือเอาถาดใบนั้นไป

เมื่อพ่อค้านั้นออกไปแล้ว ไม่ช้าพ่อค้าคนก่อนก็ย้อนกลับมาถึง พอรู้เรื่องก็เสียใจล้มทั้งยืน เมื่อฟื้นสติขึ้นก็คว้าไม้คันชั่งออกวิ่งตามไป ทันพ่อค้าซึ่งกำลังนั่งเรือข้ามน้ำจวนจะถึงฝั่งโน้นแล้ว จึงตะโกนเรียกให้กลับ เมื่อพ่อค้านั้นไม่กลับก็กล่าวคำจองเวรขึ้นว่า ขอให้เราได้ทำร้ายท่านในชาติต่อๆ ไปให้จงได้ ว่าแล้วก็หัวใจแตกตาย มาชาติสุดท้ายพ่อค้านั้นได้มาเกิดเป็นพระเทวทัต ส่วนพ่อค้าอีกคนที่ซื่อสัตย์ได้มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งในอีกหลายชาติต่อมา พระเทวทัตก็ยังตามมาจองเวรจองกรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้หยุดหย่อน แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ต่อความดีงามของพระพุทธองค์ที่มีมากมายจนหาที่เปรียบไม่ได้ ส่วนพระเทวทัตก็ต้องไปเสวยผลกรรมในขุมนรกอเวจีไม่ได้ผุดได้เกิด

เมื่อมาพิจารณาดูให้ลึกซึ้งแล้วจะพบว่าเรื่องราวต่างๆ นี้ไม่ได้ไกลจากตัวเราเลย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่พระเทวทัตก็เป็นคนฉลาด รอบรู้ในเรื่องต่างๆ แต่เหตุที่ทำให้กลายเป็นผู้มีความอาฆาต พยาบาทก็เนื่องมาจากการขาดสติยั้งคิดและไร้ซึ่งปัญญานั่นเอง มุ่งแต่จะเอาชนะ อยากมีให้มากกว่า เริ่มจากอาการน้อยใจตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จยังเมืองโกสัมพี มีประชาชนนำของมาถวายพระพุทธเจ้าและพระสาวกเยอะแยะ แต่พระเทวทัต

กลับไม่ได้อะไรเลย จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความน้อยใจซึ่งเป็นโทสะ จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นวางแผน ทั้งๆ ที่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าได้ทรงตักเตือนทั้งทางตรงทางอ้อม พร่ำสอนต่างๆ นานา แต่กลับไม่นำพา ไม่เคยเลยที่จะฉุกคิด มีแต่ความโลภ อาฆาต มาตรร้าย มุ่งหวังแต่จะเอาชนะให้ได้ถ่ายเดียว ถึงขั้นหมายเข่นฆ่าชีวาให้อาสัญ

คนเราเมื่อไม่มีปัญญาและขาดไร้ซึ่งสติเสียแล้ว ก็จะถูกความชั่วร้ายเข้าครอบงำจิตใจได้โดยง่าย เป็นเหตุให้นำไปสู่การกระทำในสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์ มีแต่ความโลภโมโทสัน อยากได้อยากมี อยากยิ่งใหญ่เกินกว่าใครๆ จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นเดือดร้อน ดังนั้นจึงได้แต่ขอวิงวอนให้เราท่านทั้งหลายจงมีสติและปัญญา รู้ผิดชอบชั่วดี รู้จักหยุดเสียบ้าง หยุดปากไว้ไม่พูดพร่ำคำเพ้อ หยุดกายไม่ให้เผลอทำชั่ว หยุดใจไม่คิดชั่ว หยุดได้อย่างนี้แล้ว โลกเราคงน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ.

อยากรู้จักม้า และนักอ่าน , งานเปิดตัวหนังสือแสนเท่ และน่ารัก

ไปดูม้าที่โคราช งานเปิดตัวหนังสือแปล "เกือบไม่ได้เขียน" โดย เจมส์ เฮอร์เรียต ของ สำนักพิมพ์ผีเสื้อ

คลื่นชีวิต

* คลื่นชีวิต *

 
ในชีวิตของแต่ละคน มันก็มีคลื่นของชีวิต
 
คลื่นสุข คลื่นทุกข์ คลื่นได้ คลื่นเสีย
คลื่นดีใจ คลื่นเสียใจ ฯลฯ
 
คลื่นเหล่านี้มันไหลเข้ามาในชีวิตเรา
ถ้าเราไม่มีปัญญาเป็นเครื่องประคับประคองใจ
เราก็ขึ้นๆ ลงๆ เรียกว่าเต้นไปตามเรื่อง
เต้นไปตามเพลงอยู่ตลอดเวลา
 
มันเป็นความสุขหรือไม่ที่เราเต้นอยู่อย่างนั้น
 
…ญาติโยมลองคิดดู…
 
ถ้าเรามองดูด้วยปัญญาแท้จริง จะรู้สึกว่าไม่เป็นความสุขอะไร
เพราะมันมีเรื่องขึ้นๆ ลงๆ อยู่
 
ที่จะเป็นความสุขที่แท้จริงมันอยู่ตรงไหน?
 
…ก็ตรงที่เราไม่ขึ้นไม่ลงกับสิ่งเหล่านั้น
 
พระพรหมมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)

เรียนรู้ไว้ให้ตาสว่าง…ความจริง ความเท็จ

**ความจริง ความเท็จ**

ความจริงกับความเท็จ
…มักจะเดินคู่กันเสมอ…

ถ้าเราไปเห็นความเท็จแล้วพอใจในสิ่งนั้นเสีย
ความจริงก็ไม่ปรากฏแก่เรา

แต่ถ้าพยายามมองให้ทะลุความเท็จอันเป็นมายาเข้าไป
ความจริงก็ปรากฏแก่เรา

คนใดได้ทราบความจริงแล้ว
…คนนั้นจะเป็นไท…
ไม่มีความหลงใหลมัวเมาในสิ่งนั้นๆ ต่อไปอีก

เมื่อความหลงไม่มี
ปัญญาก็ปรากฏ

…ปัญญานั่นแหละ…
เป็นประทีปส่องให้ได้เห็นของจริง

พระพรหมมังคลาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)